ภูมิภาค
ลมหนาวรอบสุดท้าย ยืนกินข้าวจี่รสเด็ด ที่จ.อำนาจเจริญ
วันจันทร์ ที่ 04 เมษายน พ.ศ. 2565, 14.11 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
วันที่ 4 เมษายน 2565 ที่ตลาดสดเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ต.บุ่ง อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ คาคร่ำไปด้วย พ่อค้า แม่ค้า ผู้มาจับจ่ายซื้อสินค้าอาหารการกิน จำนวนมาก ที่สะดุดตาพบเห็นลูกค้ามากที่สุด คือ ร้านขายข้าวจี่ ซึ่งมีลูกค้า ผู้นิยมรับประทานข้าวจี่ ทั้งแบบโบรารณและแบบประยุกต์ ยืนกิน ล้อมวง ช่วยแม่ค้า ปิ้งข้าวจี่พลิกไปมา เพื่อผิงไฟ คลายหนาว บางคนยืนกิน จนอิ่มท้องแล้วค่อยเดินไปซื้อของอย่างอื่นก็มี
นางเอมอร อายุ 61 ปี ชาวบ้านเลขที่ 19 หมู่ที 6 ต.บุ่ง อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ แม่ค้าขายข้าวจี่ยอดนิยม เล่าว่า ข้าวจี่ ที่ตลาดสดเทศบาลเมืองอำนาจเจริญมากว่า 10 ปี และจะทำขาย มีให้ประทานปีละ 1 ครั้ง เฉพาะฤดูหนาว ช่วงอากาศหนาวเย็นเท่านั้น แต่ว่า มีลมหนาวพัดมาอีกครั้งติดต่อกัน 5 วันแล้ว จึงต้องนำข้าวมาปิ้งเป็นข้าวจี่ขายอีกครั้ง ควบคู่กับ ขนมข้าวเกรียบปากหม้อ ซึ่งทำขายทุกวันอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ขนมข้าวจี่ จะต้องย่างหรือปิ้งที่เตาไฟตลอดเวลา จึงมีผู้ขายและผู้ชื้อ ยืนล้อมวงช่วยกันปิ้งข้าวจี่พลิกไปมา พร้อมพูดคุยกัน บางคนก็จะยืนกินไปด้วย เพื่อบรรเทาความหนาวเย็น โดยเฉพาะนำข้าวใหม่มาทำเป็นข้าวจี่ จะมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ เป็นที่นิยมมาก ซึ่งข้าวจี่ที่ จ.อำนาจเจริญ มี 2 แบบ คือ ข้าวจี่โบราณและข้าวจี่สมัยใหม่ ประยุกต์มาจากข้าวจี่โบราณ ซึ่งมีรสชาติไม่แตกต่างกันมากนัก จึงมีผู้คนหาซื้อข้าวจี่ทานแทนข้าวกันมาก ทำให้ร้านขายขนมประเภทต่างๆจะต้องทำข้าวจี่ขายควบคู่กันไปด้วย เพราะช่วงนี้ ข้าวจี่ มาแรงขายดีมาก
นางเอมอร เกตุดี อายุ 61 ปี แม่ค้าข้าวจี่ 2 อย่าง คือ ข้าวจี่สมัยใหม่และข้าวจี่โบราณ เล่าถึงที่มาของการทำข้าวจี่โบราณว่า สมัยเด็กๆ เมื่อถึงฤดูหนาว อากาศโดยทั่วไปหนาวเย็น พ่อ แม่ ก็จะก่อไฟผิงที่ใต้ถุนบ้าน ระหว่างนั่งผิงไฟ ก็จะมีการปั้นข้าวเหนียวลักษณะกลมๆเท่าไข่ไก่ หรือไม่ก็ใหญ่กว่าไข่ไก่ แล้วทาเกลือ นำมาปิ้งที่กองไฟ ปิ้งข้าวจี่พลิกไปมาจนมีสีเหลือง พ่อ แม่ ก็จะแบ่งให้กิน ด้วยรสชาติหอมมันเค็มนิดๆ กินจนอิ่มท้อง โดยไม่ต้องกินอาหารอะไรเลย จึงเป็นการเรียนรู้การทำข้าวจี่ ปิ้งข้าวจี่ มาตั้งแต่เด็ก
ต่อมา เมื่อแต่งงาน มีครอบครัว จึงได้นำเอาความรู้จากการทำข้าวจี่ ปิ้งข้าวจี่ ทำไปจำหน่ายยังตลอดสดเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ในช่วงหน้าหนาวทุกปี โดยเฉพาะช่วงนี้ อากาศเริ่มหนาวเย็น ข้าวจี่ 2 อย่าง ทั้งแบบสมัยใหม่และโบราณ ขายดีมาก จากที่เคยทำขาย ใช้ข้าวเหนียว วันละ 10 กิโลกรัม เพราะมีผู้บริโภคเพิ่มขึ้น จึงต้องใช้ข้าวเหนียวเพิ่มเป็นวันละ 10 -20กิโลกรัม สร้างรายได้เป็นอย่างดี
สำหรับวิธีทำข้าวจี่โบราณ ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เริ่มแรก ให้แช่(หม่า)ข้าวเหนียว จนได้ที่ แล้วนำไปนึ่งให้สุก ต่อมา นำข้าวเหนียวสุกมาปั้นเท่าฝ่ามือโรยด้วยเกลือ แล้วเอาไปวางที่เหล็กปิ้งบนเตาไฟ พลิกไปมา จนข้าวเหนียวออกสีเหลืองอมส้ม ก็สามารถรับประทานได้ จำหน่ายก้อนละ 10 บาท ซึ่งที่นี่จะแถมแจ่วให้ 1 ถุงเล็ก เพื่อจิ้มกับข้าวเหนียว เรียกว่า ข้าวจี่โบราณ ที่มีรสชาติอร่อยแซ่บถึงใจ นอกจากนี้ยังขายข้าวต้มมัดญวน(เวียดนาม) ควบคู่กันด้วย
นางเอมอร เกตุดี กล่าวถึงวิธีทำข้าวจี่สมัยใหม่ หรือ ข้าวจี่ประยุกต์ว่า เริ่มแรก ให้เอาข้าวเหนียวที่นึ่งจนสุกแล้ว ไปคลุกเคล้ากับกะทิมะพร้าว เรียกว่า ข้าวเหนียวมูล ต่อมา นำไข่ไก่ ตอกใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ ใส่น้ำปลาลงไป ตีไข่ให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำข้าวเหนียวมูลปั้นเป็นก้อนเท่าลูกไข่ไก่แล้วชุบกับไข่ไก่ทาให้ทั่ว ต่อมา นำไปปิ้งที่เหล็กปิ้งบนเตาถ่าน พริกไปมาจนข้าวเหนียวมูลมีสีเหลืออมส้ม ก็เป็นอันแล้วเสร็จ ด้วยรสชาติหอม อร่อย ทานแล้วร่างกายอบอุ่น คลายหนาวได้ระดับหนึ่ง ที่สำคัญ มีให้ทานปีละ 1 ครั้ง ขายทั้งข้าวจึ่โบราณและข้าวจี่ประยุกต์ ก้อนละ 10 บาทเท่ากัน ด้วยราคาไม่แพง ทานอิ่มท้อง ที่สำคัญ อากาศหนาวติดต่อกันมา 5 วัน จึงต้องทำข้าวจี่มาขายอีกครั้ง และขายดี ขายหมดทุกวัน บางคนต้องโทร.สั่งจองล่วงหน้า ข้ามวันเลยทีเดียว จึงจะได้ทานข้าวข้าวจี่
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่