โลกหมุนเวียนเปลี่ยนได้ไปอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน ความก้าวหน้าของโลกยุค 2021 ไปไกลกว่าที่เราคิด “ยุค 5 G ไร้พรมแดน” คนติดต่อสื่อสารกันได้รวดเร็ว วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดอาชญากรรมเปลี่ยนรูปแบบ ทุกวันนี้ ตำรวจหยุดที่เดิมและทำงานแบบเดิมไม่ได้แล้ว
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยี เห็นความสำคัญของปัญหาคดีอาชญากรรมในอนาคตข้างหน้า กำหนดนโยบายสำคัญให้ตำรวจนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นโครงการติดกล้อง CCTV การนัดแจ้งความออนไลน์ ซึ่งนำร่องใช้ในพื้นที่ กทม.ไปแล้วเมื่อ 7 ม.ค.2564
“บิ๊กหลวง” พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผบช.ภ.3 รับนโยบาย ผบ.ตร.ทันที ขยับตำรวจภาค 3 ทั้ง 8 จังหวัดอีสานใต้ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ และยโสธร เข้าสู่ยุคไอที 2021 ให้ทุกหน่วยนำเทคโนโลยีมาใช้ในการป้องกันปราบปราม อำนวยความสะดวกประชาชนในพื้นที่
นำร่องแจกเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 แล้ว “โครงการ 1 DOSZ” หรือ “1 อำเภอ 1 เซฟตี้โซน” กำหนดจุดเสี่ยงอาชญากรรม ติดตั้งกล้อง CCTV เชื่อมระบบมาที่สถานีตำรวจ โดยสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่
กำลังเริ่มดำเนินการตามนโยบาย ผบ.ตร. โครงการนัดแจ้งความออนไลน์ ผ่านระบบแอปพลิเคชัน จะใช้นำร่องพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา 3 โรงพักคือ สภ.เมืองนครราชสีมา สภ.จอหอ และ สภ.โพธิ์กลาง
เริ่มวันที่ 31 ม.ค. เป็นเฟส 1 ของการแจ้งความออนไลน์ แต่ บช.ภ.3 ไม่หยุดเพียงเท่านี้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ให้ขยายต่อโครงการ ผบ.ตร. เฟส 2 ขยับจากการนัดแจ้งความออนไลน์ เป็นการแจ้งความออนไลน์เอกสารหายและเตรียมขยายไปเฟส 3 แจ้งความออนไลน์ในคดีทางเศรษฐกิจ เช่น ยักยอก ฉ้อโกง หลอกลวงต่างๆ
มอบหมาย พล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ รอง ผบช.ภ.3 เป็นผู้ควบคุมให้ สภ.คลองไผ่ นำร่อง มี พ.ต.ต.ธาดา อรรถวุฒิศิลป์ สว.สภ.คลองไผ่ ที่ได้รับทุนไปเรียนต่อที่ประเทศจีนมีความรู้ด้าน IT มานำร่องเริ่มใช้ สามารถดำเนินการได้หลัง 31 ม.ค. ประชาชนที่จะนัดแจ้งความเข้าไปได้ที่เว็บไซต์ “แจ้งความออนไลน์”
เมื่อเข้าไปถึงจะให้กรอกข้อมูล เลือกจังหวัด เลือกสถานีตำรวจที่จะดำเนินการแจ้งความ ส่งข้อมูลการยืนยันบุคคลตามระเบียบที่กรมการปกครองวางไว้ ลงข้อมูลเพิ่มเติมว่าเอกสารอะไรหาย หายที่ไหน อย่างไร จากนั้นส่งข้อมูลไปยัง สภ.คลองไผ่ มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจสอบข้อมูล
หากพบว่าเป็นข้อมูลจริง เจ้าหน้าที่จะบันทึกข้อมูลลงไปส่งให้ผู้เสียหายนำไปปรินต์เพื่อใช้งานต่อไป
การแจ้งความออนไลน์ที่ บช.ภ.3 ใช้นำร่อง จะทำให้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ลดการเดินทางคนที่มาแจ้งความ ซึ่งที่ผ่านมาในพื้นที่ บช.ภ.3 มีประชาชนกว่า 2 ล้านคนทั่วประเทศที่ต้องเดินขึ้นโรงพักทุกปี เพื่อแจ้งความเอกสารหาย และกว่า 4 แสนราย ยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด จะช่วยเรื่องการเว้นระยะห่าง
ไม่เพียงเท่านี้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ยังนำ IT ใช้ในการทำงานหลายเรื่อง เช่น การนำโดรนบินตรวจยาเสพติดตามแนวชายแดน ลดการสูญเสียกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการลาดตระเวน นำโดรนมาแก้ปัญหาจราจร
การทำ Police School ห้องเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อให้เฉพาะตำรวจ ได้เข้าไปเรียน พัฒนาศักยภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ครอบคลุมงานของตำรวจในพื้นที่ภาค 3
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผบช.ภ.3 กล่าวกับ “ทีมข่าวอาชญากรรม” ว่า “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มีนโยบายอำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชนในการแจ้งความ โดยจัดทำโครงการ “นัด แจ้งความออนไลน์” นำร่องในพื้นที่ กทม. ซึ่งตำรวจ บช.ภ.3 จะนำโครงการมาใช้ใน สภ.เมือง นครราชสีมา สภ.จอหอ และ สภ.โพธิ์กลาง ใน วันที่ 31 ม.ค.
ขณะนี้ บช.ภ.3 กำลังดำเนินการเพิ่มเติมขยายโครงการของ ตร.จัดทำโครงการ “แจ้งความออนไลน์” นำร่องที่ สภ.คลองไผ่ เบื้องต้นเป็นการแจ้งความเอกสารหายผ่านเว็บไซต์เพื่อลดขั้นตอน ลดการเดินทาง ลดค่าใช้จ่าย ของพี่น้องประชาชน ไม่ต้องเดินทางมาที่โรงพัก ซึ่งพบว่าในพื้นที่ บช.ภ.3 มีประชาชนกว่า 418,000 คน ต้องเดินขึ้นโรงพักทุกปีเพื่อไปแจ้งเอกสารหาย ซึ่งมีค่าใช้จ่ายและเสียเวลาเดินทาง เมื่อโครงการดำเนินการไปแล้ว จะมีการประเมินผลได้ผลเสีย หากผลตอบรับดีจะขยายเฟสเป็นการแจ้งความออนไลน์คดีทางเศรษฐกิจต่อไป ตำรวจภาค 3 จะพยายามนำเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ทุกมิติเพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่ภาค 3”
เป็นวิสัยทัศน์การทำงานของ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผบช.ภ.3 นายตำรวจรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญ พัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ร่วมกับงานตำรวจ พาตำรวจภูธรเรียนรู้สิ่งใหม่ นำตำรวจสู่ยุค IT 2021
สุดท้ายคนที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดคือ พี่น้องประชาชน.
ทีมข่าวอาชญากรรม