วันที่ 14 ส.ค.นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมสัมมนาในหัวข้อ “365 วันกับสิ่งมหัศจรรย์ของการต่อสู้ที่ดงมะไฟ” เนื่องในโอกาสฉลอง 1 ปีชัยชนะการยึดเหมืองหินดงมะไฟ ของนักปกป้องสิทธิกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวตกเป็นข้อพิพาท ระหว่างประชาชนกับกลุ่มทุนที่ได้ประทานบัตรทำเหมืองหินเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว แม้จะมีเสียงคัดค้านจากคนในชุมชนในตอนนั้น แต่ทว่าเหมืองหินก็ยังเปิดดำเนินการได้ และประกอบกิจการเรื่อยมาจนกระทั่งหมดอายุ และต่อมาในปี 2563 บริษัทจะขอต่ออายุใบอนุญาต ทว่าได้เกิดการคัดค้านอย่างหนักของประชาชนในพื้นที่ ไม่ยอมให้สภาองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ดงมะไฟ พิจารณาต่ออายุให้ ประชาชนในพื้นที่ยื่นหนังสือคัดค้านไปถึงหลายหน่วยงาน และในวันที่ 13 สิงหาคม 2553 ได้ทำการปิดทางเข้าออกเหมือง และออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการปิดเหมืองถาวร ฟื้นฟู ภูเขา ป่าไม้ ในพื้นที่ และพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว การต่อสู้ดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งในที่สุด อบต.ดงมะไฟ ก็มีมติไม่ต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าว นับเป็นชัยชนะในการปกป้องสิทธิชุมชนของประชาชนในพื้นที่
นายธนาธร กล่าวว่า ความมหัศจรรย์ของการต่อสู้ของพี่น้องดงมะไฟ เห็นได้ตั้งแต่ข้อเรียกร้องที่ใช้ในการต่อสู้ คือ 1.ปิดเหมืองหินถาวร 2.ฟื้นฟูภูผาป่าไม้ และ 3.พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่กล้าหาญ ปกป้องทรัพยากรของชุมชน ขณะเดียวกันก็มองไปข้างหน้าว่าจะพัฒนาและดึงศักยภาพในพื้นที่อะไรออกมาบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มชื่นชมชัยชนะในวันนี้ แลกมาด้วยคราบน้ำตา ความแตกแยกที่ทุนกับรัฐยัดเยียดให้เรา มีความสูญเสีย มีคนเสียชีวิต ยังไม่นับระยะเวลาในการต่อสู้การลงทุนลงแรงที่เสียไป กว่าที่จะมีรอยยิ้มแห่งชัยชนะนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีอีกหลายพื้นที่การต่อสู้ในลักษณะเดียวกันนี้ ที่ยังคงดำเนินอยู่ ไม่ว่าจะเป็น เขตพัฒนาพิเศษจะนะ จ.สงขลา เหมืองโปแตส จ.สกลนคร ซึ่งมีลักษณะเหมือนกัน คือ ฝ่ายประชาชนที่ต่อต้านถูกข้อหาชังชาติ ถูกกล่าวหาว่า เป็นพวกไม่เอาการพัฒนา และถูกยัดเยียดคดี ดังนั้น ก็อยากให้พี่น้องดงมะไฟ ช่วยเป็นกำลังใจให้กับพื้นที่อื่นๆ ด้วย เพราะน้อยครั้งมากที่การต่อสู้ของประชาชนแบบนี้จะได้ชัยชนะ ตนเห็นด้วยที่บอกว่าพื้นที่แห่งนี้มีความพิเศษมาก เพราะเมื่อเราหยุดยั้งการต่อประทานบัตรเหมืองหินได้แล้ว เราไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว แต่ทำต่อ มีการฟื้นฟู มีการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเรื่องน่าชื่นชม ก็อยากให้ดงมะไฟเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องที่ต่อสู้ในลักษณะเดียวกันนี้ทั่วประเทศ
นายธนาธร ด้วยว่า ตนมี 4 ประเด็นที่อยากจะพูดถึงสำหรับการมองไปข้างหน้าในการต่อสู้ ได้แก่ 1.เรื่องความยุติธรรม กรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพี่น้องชาวดงมะไฟ คนที่ต่อสู้ต้องไม่ตายฟรี คนที่สั่งการต้องถูกนำตัวมาดำเนินคดี และอีกเรื่องก็คือการยกระดับด้วยแก้กฎหมาย ถ้ามีโอกาสก็ยินดีช่วยผลักดันเรื่องนี้ ผ่านอดีตเพื่อนร่วมงานอย่าง ส.ส.พรรคก้าวไกล ให้ดำเนินการต่อไป
2.เรื่องเศรษฐกิจ การฟื้นฟูดงมะไฟให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็อยากเข้ามาช่วย เพราะจากที่มีโอกาสได้มาเยือนพื้นที่นี้ก็พบว่าเป็นพื้นที่ที่มีศักยภพ เป็นภูเขาหินปูนที่สวยงาม มีภาพเขียนสีที่ผนังถ้ำเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญ ถ้าเราพัฒนาดีๆ เชื่อว่าจะเป็นแหล่งเศรษฐกิจ สร้างได้นอกจากภาคการเกษตรซึ่งทำอยู่ในพื้นที่ ถ้าพื้นที่เปิด สถานการณ์โควิดคลี่คลาย เราพร้อมมาให้ความช่วยเหลือ อย่างที่ตอนนี้ที่คณะก้าวหน้ากำลังทำอยู่คือ เทศบาลตำบลทากาศเหนือ จ.ลำพูน จะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่อไป
“3.เรื่องการเมือง ผมยืนยันเสมอว่า การเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัว การใช้สิทธิต่างๆ ของประชาชนจะช่วยในเรื่องพัฒนาประชาธิปไตย การเมืองคือพื้นที่ที่ต้องรณรงค์กันอย่างแข่งขัน เราหยุดเหมืองหินได้แล้วแต่อย่างไรก็ต้องทำต่อ ซึ่งข้อเสนอผมคือ ยึด อบต.ให้ได้ เพื่อให้เราได้เป็นคนกำหนดเกณฑ์เอง เพื่อมีอำนาจอย่างเป็นทางการ ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ การเมืองเป็นเรื่องของเราทุกคน งบประมาณ อบต.ดงมะไฟ 54 ล้าน มีงบลงทุน 5-6 ล้าน ถ้าเราได้นายก อบต.ที่มีความรู้ความสามารถเชื่อว่า จะสามารถฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวนี้ได้ เราต้องใช้ช่องทางอำนาจและงบประมาณตรงนี้ ผลักดันให้ชุมชนเราเจริญก้าวหน้า แต่ถ้าไม่พร้อมลงแข่ง ผมเสนอให้จัดเวทีแล้วเอาคนที่จะลงนายก อบต.มาคุยกันว่า เรื่องนี้จะเอาอย่างไร ในฐานะผู้สมัครนายก อบต. นี่คือการใช้สิทธิพลเมือง ถ้าให้คำมั่นสัญญา ก็เอาคะแนนเสียงเราไป
และ 4.เรื่องเหมืองหินในระดับชาติ ยืนยันว่า เราไม่ได้ปฏิเสธการพัฒนา เพียงแต่การพัฒนานั้นคนที่ได้รับผลกระทบต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ชุมชนต้องร่วมตัดสินใจด้วย ข้อมูลต้องเปิดออกมาให้ประชาชนเลือกเอง อย่าให้พวกเขาต้องเสียสละในนามของการพัฒนา มีประชาชนกี่ชุมชนแล้วที่เสียสละชีวิตความเป็นอยู่ เสียสละทรัพยากรธรรมชาติ ในนามการพัฒนา โดยที่ดอกผลตกอยู่กับนายทุนบางกลุ่ม ตกอยู่กับส่วนกลางในกรุงเทพฯ ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ต้องเป็นผู้รับกรรม พอแล้วกับการพัฒนาแบบนี้” นายธนาธร กล่าว