วันเสาร์ ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2565, 17.51 น.
วันที่ 22 ม.ค. 65 สนธยา พาเข้าวัดฟังธรรม นมัสการพระเจ้าใหญ่ศรีสุทโธ ที่วัดบ้านดงสีโท ต.หนองมะแซว อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ ถึงแม้จะเป็นวัดขนาดเล็ก ผู้คนไม่ค่อยรู้จักมากนัก ทว่า ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ยึดเหนี่ยวทางใจ บรรดาญาติโยม พุทธศาสนิกชน เข้าไปกราบไหว้บูชา ขอพร พระเจ้าใหญ่ศรีสุทโธ เป็นประจำ เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นมงคลชีวิต แก่ตนเองและครอบครัว
สำหรับ พระเจ้าใหญ่ศรีสุทโธ ตามตำนานเล่าว่า ชาวขอมและชาวข่า โบราณ มีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง มักจะอพยพย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย โดยใช้เส้นทางในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างในการเดินทางเป็นหลัก หากพื้นที่เหมาะสมใกล้แหล่งน้ำ จะทำที่พักพิงปลูกบ้านสร้างเมือง ชั่วคราว พร้อมกับ ปั้นพระพุทธรูป เพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ และเป็นกำลังใจในการเดินทางต่อไป
พระอธิการรังสี ปมุติโต อายุ 55 ปี เจ้าอาวาสวัดบ้านดงสีโท บ้านดงสีโท ต.หนองมะแซว อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ เล่าประวัติ พระเจ้าใหญ่ศรีสุทโธ วัดบ้านดงสีโทให้ฟังว่า จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนบ้านดงสีโท ว่ากันว่า นานมาแล้ว บริเวณที่ตั้งวัดบ้านดงสีโท เป็นเมืองเก่าของชาวขอม และคนข่า โบราณ ประมาณ 1,000 ปี ซึ่งรูปร่างชาวขอมสันทัด ส่วนคนข่า จะมีรูปร่างสูงใหญ่ 8 ศอก บางคนก็จะเรียกคน 8 ศอก มีถิ่นที่อยู่ไม่แน่นอน อพยพย้ายถิ่นฐานไปตามแหล่งน้ำ ในพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง เช่น อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และนครราชสีมา ระหว่างที่พักอยู่พื้นที่ใด ก็จะมีการปั้นพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยึดเหนี่ยวทางใจ และเป็นกำลังใจในการเดินทางให้คลาดแคล้วปลอดภัยกับภยันตรายต่างๆที่อาจะเกิดขึ้นได้
กระทั่ง เดินมาถึง ป่าดงสีโท ซึ่งปัจจุบันเป็นวัดบ้านดงสีโท ซึ่งเป็นเนินไม่สูงมากนัก เหมาะในการพักค้างแรมชั่วคราว จึงมีการก่อสร้างที่พักอาศัย และ ปั้นพระพุทธรูปนามว่า พระเจ้าใหญ่ศรีสุทโธ ขึ้น เพื่อกราบไหว้บูชา และทำพิธีทางศาสนา ซึ่งชาวขอมพักอยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็ต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปที่อื่น จึงทำการยกเคลื่อนย้าย พระเจ้าใหญ่ศรีสุทโธ ไปด้วย แต่ว่า ยกอย่างไร ก็ยกไม่ขึ้น พยายามยกขึ้นเสลี่ยงอยู่หลายวัน ก็ยกไม่ขึ้น ต่อมา มีการเข้าทรง จึงทราบว่า พระเจ้าใหญ่ศรีสุทโธ ต้องการอยู่ที่นี่ จึงนำใบไม้มาปกปิดบังเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น หากเดินทางผ่านมาที่เก่าอีก ก็จะทำพิธีบูชาต่อได้ กระทั่งมีชาวบ้าน เข้ามาหาของป่า จึงพบเห็นพระพุทธรูป นามว่า พระเจ้าใหญ่ศรีสุทโธ ประดิษฐานอยู่กลางป่าดงสีโท จึงแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบ ระหว่างนั้น คนเฒ่า คนแก่ ในหมู่บ้าน ฝันว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยู่กลางป่าดงสีโท ท่านต้องการอยู่ที่นี่ อย่าเคลื่อนย้ายไปไหน เพื่อคุ้มครองรักษาชาวบ้านดงสีโท ให้อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งตรงกับ ที่พบพระพุทธรูปในป่าดงสีโท จึงมีการประชุมคนในหมู่บ้าน ตกลง ให้บริจาคทุนทรัพย์คนละเล็กคนละน้อย ก่อสร้างเป็นที่ครอบองค์พระเจ้าใหญ่ศรีสุทโธ ให้แข็งแรง สามารถบังแดดบังฝนได้ เรียกว่า วิหาร อย่างที่เห็นในปัจจุบัน จากอดีต ถึง ปัจจุบัน ด้วยแรงศรัทธา มี ผู้คน เดินทางเข้ามาอธิฐานขอให้ท่านช่วยเหลือ ในด้านต่างๆหลากหลาย และสมหวังทุกราย ซึ่งจะมีมหรสพ แก้บน แทบจะทุกคืน
พระอธิการรังสี ปมุติโต เจ้าอาวาสวัดบ้านดงสีโท ต.หนองมะแซว อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ กล่าวว่า วัดบ้านดงสีโท ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงเรียนบ้านดงสีโท อยู่กลางหมู่บ้านดงสีโท เป็นวัดขนาดเล็ก เพราะมีพระสงฆ์ 3 รูป มรรคนายก 1 คน สังกัด มหานิกาย บนเนื้อที่ 7 ไร่ เป็นที่ตั้งของ กุฏิ อุโบสถ ศาลาการเปรียญ เมรุ ฯลฯ
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2559 ได้มีการก่อสร้างพระพุทธรูปแบบปางมารวิชัย นามว่า พระโตโคตมะ ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมใจและประกอบพิธีทางศาสนาของพุทธศาสนิกชนชาวบ้านดงสีโทและใกล้เคียง โดยเฉพาะ บริเวณใต้ฐานองค์พระโตโคตมะ ทำเป็นห้องสมุด บรรจุพระไตรปิฎก และหนังสืออื่นๆ เพื่อให้เป็นคลังปัญญาเด็กและเยาวชน คนในหมู่บ้าน ได้ศึกษาเรียนรู้ ค้นคว้าเรื่อง พุทธศาสนา และอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น
พระอธิการ รังสี ปมุติโต เจ้าอาวาสวัดบ้านดงสีโท ต.หนองมะแซว อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ เทศนา เรื่อง กิเลส ตอนหนึ่งว่า มนุษย์บางจำพวกติดข้องอยู่ในมัจฉริยะ ความตระหนี่หวงแหนเหนียวแน่นยิ่งนัก พอกพูนในสันดาน ผูกพันธนาการจำจองอยู่ในวัฏสงสาร ตั้งหมื่นชาติแสนชาติ อนันตชาติ หรือทั้งกัป ก็ไม่พ้นจากทุกข์ได้เสียที เพราะความตระหนี่หวงแหนเป็นกิเลส เกิดขึ้นจากจิต กระทำให้จิตบังเกิดเป็นคนเหนียวแน่นหวงแหนสิ่งสรพัดทั้งปวงในโลกนี้ทั้งสิ้น เบื้องต้นก็หวงแต่ชีวิตของตนผู้เดียว ต่อมา เมื่อมีภริยา น้ำใจก็กระพือตัวกว้างขวางออกไปหวงแหนเอาซึ่งภริยาอีก ครั้นเมื่อมีบุตราบุตรี กล่าวคือมีลูกมีหลาน ก็กระพือตัวให้ใหญ่มากขึ้น หวงแหนไว้ซึ่งลูกหลานของตน ครั้นมีบ้าน มีเรือน มีไร่ มีนา มีทรัพย์ มีสมบัติข้าวของเงินทอง ช้าง ม้า วัว ควาย สัตว์เลี้ยงทั้งหลายมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งกระพือใจให้ใหญ่โตออกไปเท่านั้น หุ้มห่อเอาบ้าน เอเรือน เอาไร่ เอานา เอาข้าว เอาของ เงินทอง และสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย ด้วยความเข้าใจว่า เป็นของตนจริงๆ และเป็นตัว เป็นเรา เป็นเขา ตามสมบัติของโลกเรียกกันก็เป็นจริงอย่างนั้น แต่ไม่รู้เท่าสมบัติแล้ว ก็ชื่อว่า หลงสมบัติ จึงจำเป็นต้องถือตนถือตัว ถือเรา ถือเขา ถือดี ถือชั่ว ถือถูก ถือลูก ถือหลาน ถือทรัพย์ ถือสมบัติ “ มยุหํ ๆๆ” แปลว่า ของกู ๆๆ ลูกกู หลานกู บ้านกู เรือนกู ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองของกู เรือกสวน ไร่นา สัตว์เลี้ยงต่างๆเป็นของกู กูสร้างขึ้นไว้ กูทำหลักฐานเอาไว้ จะให้เจริญรุ่งเรืองอยู่ ในโลกไปชั่วกัลปาวสาน มีลูกมีหลานกูจะให้สืบแทนตระกูลของกู กูไม่ให้เสื่อมสูญอันตรธานไปได้เลย
เมื่อบุคคลเป็นผู้ลุมัจฉริยะฝังอยู่ในสันดานจนเป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือนดังนี้ อญาณวฑฺติโก ย่อมเป็นผู้ปราศจากปัญญาณ ไม่สามารถจะส่องให้เห็นทางนรก ทางสวรรค์ ทางนิพพาน จึงไม่ต้องการบำเพ็ญทานกุศลในพระพุทธศาสนาต่อไป แม้ใครจะมาชักชวน หรือลูกเต้า หลาน เหลน นำเอาทรัพย์สมบัติออกไปทำบุญทำทานไม่ได้เป็นอันขาด ตลอดจนมีนักปราชญ์อาจารย์ผู้ฉลาดมาเทศนาให้รู้จักทางนรก ทางสวรรค์ ทางนิพพาน ชี้แจงให้เอาตนพ้นจากวัฏสงสารก็ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใส และไม่ต้องการทั้งนั้น และกลับบังเกิดความผิดอกผิดใจเสียด้วย
และพระอธิการรังสี ปมุติโต เทศนา ให้กำลังใจ ญาติโยม ช่วงวิกฤติโควิด 19 ว่า ให้ยึดมั่นถือมั่นตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลัก ในเรื่อง ศีล ภาวนา สมาธิ และให้ทุกคนมีสติ ให้เสมอคิดว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนต้องประสบ หนีไม่พ้น ที่สำคัญต้องมีสติ มีกำลังใจ ก็จะผ่านพ้นวิกฤติโควิด 19 ไปได้ด้วยดี