วันจันทร์ ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.
ได้มีโอกาสเดินทางตระเวนไปยังหมู่บ้านห่างไกล ซึ่งถนนหนทางในการสัญจรไปมาของชาวชนบท นับว่า สะดวกสบายมาก เพราะถนนแต่ละเส้นทางลาดยางสลับกับถนนคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี จึงมีผู้คนเดินทางไปท่องเที่ยวทางศาสนา นมัสการพระพุทธรูปและฟังธรรมเทศนา จากเจ้าอาวาสในแต่ละวัด เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นมงคลชีวิตไม่ได้ขาด ภายใต้มาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
ที่วัดบ้านหนองไฮ ตำบลหนองไฮ อ.เสนางคนิคม จ.อำนาจเจริญ ถือว่าเป็นวัดขนาดเล็ก พื้นที่ 2 ไร่เศษ เป็นที่ตั้งกุฏิ อุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอระฆัง และมีพระสงฆ์อยู่จำนวน 6 รูป ไม่มีสามเณร และแม่ชี มัคนายก 1 คน สังกัดมหานิกาย โดยมีพระครูสิทธิธรรมมงคล เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านหนองไฮ รูปปัจจุบัน
พระครูสิทธิธรรมมงคล อายุ 85 ปี เจ้าอาวาสวัดบ้านหนองไฮ กล่าวว่า อาตมาเป็นคนที่นี่ (บ้านหนองไฮ) เมื่อเรียนสำเร็จชั้นประถมปีที่ 4 ภาคบังคับ ก็ไม่ได้เรียนต่อ เพราะฐานะยากจน ต้องช่วยพ่อแม่ทำนาเรื่อยมา กระทั่งเมื่อถึงอายุครบ 25 ปี อยู่ในวัยเบญจเพส ซึ่งผู้เฒ่า ผู้แก่ สมัยโบราณ บอกว่า เป็นวัยอันตราย วัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ซึ่งผู้เกิดอยู่ในช่วงอายุ 25 ปีถ้ามีโชควาสนาบุญบารมีเกื้อหนุน การทำงาน หรือทำกิจการอะไร จะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ตรงกันข้าม ถ้าโชคไม่ดีดวงตก จะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โยมพ่อ โยมแม่จึงให้บวชพระ โดยตั้งใจว่า จะบวชเพียง 1 พรรษา ก็จะสึกแต่พอผ่านไป 1 พรรษา เพราะรู้ซึ้งในแก่นแท้ของชีวิต เข้าถึงพระธรรมวินัย เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก จึงไม่ยอมสึก จวบจนถึงทุกวันนี้ ผ่านมาแล้ว 60 พรรษา ก็จะครองจีวร อยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์จวบจนชีวิตสิ้นนั่นแหละ
พระครูสิทธิธรรมมงคล เจ้าอาวาสวัดบ้านหนองไฮ เล่าความหลังเมื่อครั้งเดินธุดงค์ให้ฟังว่า หลังจากบวชแล้ว ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านหนองไฮบ้านเกิด 1 พรรษา จากนั้นได้ออกเดินธุดงค์แสวงหาความรู้ด้านพระธรรมวินัยเพิ่มเติม และเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยเดินธุดงค์ไปตามตะเข็บชายแดน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) พบกับพระสงฆ์ลาว ชื่อว่า พระอาจารย์โฮม และชวนให้ข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่งลาว โดยจำพรรษาอยู่ที่ ถ้ำหัวนาค ภูเขาควาย อยู่ 2 พรรษา ระหว่างนั้นก็ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้พระธรรมวินัยกับพระลาวไปด้วย ทำให้มีความรู้เพิ่มมากขึ้น จากนั้นจึงเดินทางกลับเข้าฝั่งไทยและเดินธุดงค์ต่อไปยังแถบชายแดนเขมร ด้าน จ.สุรินทร์, ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์ ต่อมา ได้เข้าไปจำพรรษาที่ถ้ำแกลบ ติดกับเทือกเขาพระวิหาร ระหว่างนั้นพบกับพระเขมรอยู่ 2 รูป ซึ่งมีอายุ 90 และ 93 ปี ตามลำดับ ที่อาศัยอยู่ในถ้ำแกลบก่อนแล้ว ระหว่างที่จำพรรษาอยู่ถ้ำแกลบ ได้มีการศึกษาพระธรรมวินัยจากพระเขมรทั้ง 2 รูป จนออกพรรษา จากนั้นได้เดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร สถานที่ต่างๆ ทั่วภาคอีสาน เทศนาสั่งสอนญาติโยมพุทธศาสนิกชนอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา โดยยึดคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลัก โดยเฉพาะ การทำบุญทำทาน ให้เห็นใจสงสารผู้ตกทุกข์ ผู้มีความทุกข์ ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นผู้ยากไร้ ผู้พิการ จะต้องให้การช่วยเหลือเขาเหล่านั้น ช่วยเหลือเท่าที่กำลังทรัพย์หรือแรงกายของเราพอมี โดยไม่เดือดร้อนตัวเอง ทำทานแล้วเราสบายใจ ถึงจะไม่มาก แต่ขึ้นชื่อว่าทำทาน ก็จะได้บุญกุศลมหาศาล บุญกุศลที่เห็นทันที ทันตา ก็คือ ผู้รับทานหรือผู้ที่เราช่วยเหลือ เขาพึงพอใจ เขาพ้นทุกข์ และเราสบายใจ นี่คือ บุญที่เห็นทันที ทันตา
พระครูสิทธิธรรมมงคล หรือ หลวงปู่ธรรมเจ้าอาวาสวัดบ้านหนองไฮ กล่าวว่า ต่อมา ได้เดินธุดงค์มาตามเทือกเขาภูพาน เรื่อยมา จนถึงภูกะเสก บ้านหนองทับม้า ปัจจุบัน คือ อ.เสนางคนิคม จ.อำนาจเจริญ จึงพักปักกลด จำพรรษาที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อก่อนเป็นค่ายของผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์(ผกค.) โดยจำพรรษาอยู่ 1 พรรษา ต่อมา มีญาติโยมบ้านหนองไฮทราบข่าว นิมนต์ให้กลับไปจำพรรษาที่วัดบ้านหนองไฮบ้านเกิด ประกอบกับเจ้าอาวาสวัดไม่มี ก็เลยตอบตกลง จึงมาอยู่ที่วัดบ้านหนองไฮ จนถึงทุกวันนี้
พระครูสิทธิธรรมมงคล หรือหลวงปู่ธรรม เทศนาส่งท้ายว่า เรื่องกรรมคือการกระทำ ที่แบ่งแยกให้คนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะถ้าเข้าใจผิดในเรื่องกรรม จะทำให้คนบางคนกลายเป็นมิจฉาทิฐิ จะมุ่งสร้างแต่ความชั่วอย่างเดียว เพราะเห็นว่า บางคนทำความดีแทบตาย ไม่เห็นความดีตอบสนอง แต่บางคนทำชั่วกลับได้ดี มีคนนับถือและร่ำรวยทันตาเห็น ส่วนคนทำความดี จะต้องรอให้รับผลชาติหน้าอย่างนี้เป็นต้น…